Monday, October 23, 2006

ยังมีให้เห็น



ลาหู่เป็นชนเผ่าที่มีความเข้มแข็ง และมีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ มีประชากรประมาณ 60,000 คนในประเทศไทย โดยจะมีพื้นเพอยู่ใน จ.เชียงใหม่ และเชียงราย แต่ก็สามารถพบได้ในบริเวณตอนใต้ของ จ.ตาก การอพยพมักเกี่ยวเนื่องกับถนนและเมือง เนื่องจาการยึดมั่นในการทำนุบำรุงวีชีวิตของลาหู่
ลาหู่เป็นชนเผ่าที่มีความหลากหลายในประเทศไทย มีไม่น้อยกว่า 6 เผ่า ทางภาษาไม่มีการเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน เผ่าลาหู่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย คือลาหู่แดง การนับถือผีโดยโตโบ ผู้นำทางศาสนา และยังมีจำนวนมากในลาหู่ดำ ลาหู่เหลือง และลาหู่เชเละ มีเป็นจำนวนมากที่เป็นคริสเตียน ถึง 100 ปีมาแล้ว ลาหู่มีประชากรมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และได้รับการพิจารณาเป็นภาษาท้องถิ่นที่เป็นมาตรฐาน
ถึงแม้ว่าจะยังชีพด้วยการเป็นชาวนา ปลูกข้าว และข้าวโพด เพื่อการบริโภคในครัวเรือน ลาหู่ ยังภูมิใจกับการเป็นนักล่าสัตว์ เขาจะเคร่งครัดกับกฎระเบียบของความถูกและผิด ทุกๆ คนจะตอบคำถามในพื้นฐานเดียวกับคนรุ่นเก่า โดยที่ให้ความสำคัญกับการเป็นครอบครัวขยายน้อยกว่าเผ่าอื่นๆ ชาวลาหู่ยังเข้มแข็งต่อการยึดมั่นต่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และทำงานด้วยกันเพื่อยังชีพ ลาหู่อาจเป็นกลุ่มคนที่มีความเท่าเทียมทางด้านเพศมากที่สุดในโลก

Tuesday, September 12, 2006

i am lahu

thairath.ไทย-พม่าปัญหาไทย-พม่าสรุปสั้นๆปัญหาเรื่องระหว่างไทยพม่าน่ะครับ ปัญหาเรื่องไทยพม่านั้นเกิดขึ้นเพราะ 2-3 สาเหตุใหญ่ที่สำคัญที่สุด สาเหตุแรกก็คือว่า เนื่องจากว่าพรมแดนระหว่างไทยกับพม่านั้นเป็มพรมแดนซึ่งเป็นที่ปักหลักของชนกลุ่มน้อยในพม่าที่มาปักหลักอยู่ในพรมแดน และก็เป็นที่ตั้งของพวกเขามาตั้งแต่โบร่ำโบราณแล้ว เมื่อชนชาติพม่าเข้ามามีอำนาจในประเทศพม่า แล้วก็ยึดครองอำนาจทั้งหมด ชนชาติพม่าก็ต้องการจะปราบปรามคนพวกนี้ เมื่อต้องการจะปราบปรามคนพวกนี้ ก็ต้องต่อสู้ ก็พึ่งพาอาศัยชายแดนไทยนั้นเป็นชายแดนซึ่งจะต้องหลบหนีเข้ามาทุกๆครั้งที่ถูกปราบปรามอีกประการหนึ่งในการเมืองของพม่านั้น ทหารพม่ามีอำนาจเผด็จการ ทหารพม่าไม่ต้องการให้ใครก็ตามมาท้าทายเผด็จการอำนาจของทหาร นี่คือที่มาว่าทำไมถึงเกิดการจองจำนางอองซาน ซูจี ขึ้นมา เหตุผลเพราะว่า นางอองซาน ซูจี ได้ดำเนินการทางการเมืองจนกระทั่งทำให้แนวความคิดทางประชาธิปไตยเกิดขึ้นในพม่า ซึ่งทางทหารไม่ต้องการ ต่อมาภายหลังบรรดาชนกลุ่มน้อยต่างๆ ก็ถูกพม่าดึงเข้ามาเป็นพลพรรค โดยให้อำนาจในพื้นที่ของตนบ้าง โดยให้แลกเปลี่ยนกับการที่จะมีสิทธิทำมาหากิน ต่างๆเหล่านี้ หรือแม้กระทั่งค้ายาเสพติด ในบางจุด ซึ่งบางครั้งพม่าก็เห็นด้วย ในบางครั้งพม่าก็ไม่ทราบเรื่องราวต่างๆเหล่านี้ ความเป็นเผด็จการต่างๆ ของพม่า ตลอดจนความเป็นสากลของนางอองซาน ซูจี ก็เลยพม่าถูกนานาชาติทางประเทศตะวันตก และหลายๆชาติไม่ค่อยพอใจ ตลอดจนตะวันตกนั้นก็บอยคอดประเทศพม่า ทีนี้เมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างพรมแดน และในเชิงทางการฑูต ก็เลยทำให้ประเทศไทยนั้น ต้องวางตัวให้ถูก ประเทศไทยต้องเลือกเอาว่า ประเทศไทยต้องการให้พรมแดนเราสงบ หรือว่าต้องการให้ยึดถือตามหลักสากล แล้วก่อให้เกิดเหตุการณ์ที่มีปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นมาตลอดในรัฐบาลชุดนี้ ประเทศไทยยึดถือในเรื่องของความสงบเอาไว้ก่อน โดยถือว่าเรื่องประเทศพม่านั้นเป็นเรื่องภายในประเทศของเขา เราจะไม่เข้าไปยุ่ง และอีกประการหนึ่งประเทศไทยในยุครัฐบาลชุดนี้ก็ประกาศนโยบายชัดเจนว่าจะไม่ให้การสนับสนุน หรือว่าส่งอาวุธ หรือช่วยชนกลุ่มน้อยในการไปช่วยโค่นล้มรัฐบาลเขา ตรงนี้แหละครับ คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้น เพราะการกระทำเช่นนี้ของรัฐบาลนั้น ย่อมไม่เป็นที่พอใจของบรรดาทหารบางกลุ่ม เพราะว่าทหารก็คือทหาร ทหารมีความรู้สึกรักชาติ และทหารก็ไม่ได้ผิด ทหารมองบอกว่าทำไมจะต้องยกเลิกสนับสนุนชนกลุ่มน้อย ถ้าเราสนับสนุนชนกลุ่มน้อยแล้ว ชนกลุ่มน้อยเป็นหอกข้างแคร่ ที่คอยยันพม่าเอาไว้ ประเทศไทยก็ปลอดภัย ความคิดอันนี้เป็นความคิดของสงครามเย็นในอดีต ซึ่งปัจจุบันนั้น ความคิดอันนี้ไม่น่าจะใช้ได้แล้วครับ เรื่องไทยพม่านั้น จะจบได้ก็ต่อเมื่อเราไม่ให้การสนับสนุนชนกลุ่มน้อย แล้ว ทำให้ชนกลุ่มน้อยนั้นมีความจำเป็นต้องเข้าไปเจรจา ประนีประนอม และต่อรองพม่า และในขณะเดียวกันพม่าเอง ก็จำเป็นจะต้องไปเจรจา ประนีประนอมต่อรองกับอองซาน ซูจี เหมือนอย่างที่เขาได้ปล่อยอองซาน ซูจี ออกจากคุก เพื่อที่จะได้รับฉันทานุมัติจากเวทีโลก ว่าพม่านั้น ได้พยายามปรับตัวแล้ว เมื่อเรื่องราวต่างๆ เป็นไปอย่างนี้แล้ว พัฒนาไปทีละขั้นทีละตอน เหตุการณ์ก็ต้องสงบ และผมก็คิดว่าสัมพันธภาพระหว่างไทยพม่าก็จะต้องดีขึ้นอย่างแ